กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์: การคืนอำนาจแก่เหยื่ออาชญากรรมและชุมชน
งานวิจัยจุฑารัตน์ เอื้ออำนวยและคณะที่ได้ทุนสนับสนุนวิจัยจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) .2548 เรื่อง “กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ : การคืนอำนาจแก่เหยื่ออาชญากรรมและชุมชน” ได้กล่าวถึงแนวคิดกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์เริ่มปรากฏขึ้นใหม่ในสังคมและได้รับความนิยมจากกลุ่มนักคิดทวนกระแสทั่วโลกเพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับนั้นได้มีบรรดาข้อถกเถียงทางวิชาการในประเด็นต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย บ้างก็เป็นการเสริมประเด็นสนับสนุนแนวคิดกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ บ้างก็เป็นประเด็นเชิงหักล้างที่ไม่เห็นด้วยกับการมอบอำนาจชี้ขาดความยุติธรรมทางสังคมให้แก่ผู้อื่นหรือกลุ่มบุคคลอื่นๆ หรือยังกังวลใจในการยินยอมให้ประชาชนทั่วไปมีอำนาจดำเนินการควบคุมสังคมโดยยังคงเชื่อมั่นว่าหน้าที่การควบคุมสังคมควรจะต้องเป็นหน้าที่ของผู้ประกอบวิชาชีพเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้น ดังนี้
“รัฐ” ควรคืนอำนาจแก่เหยื่ออาชญากรรมและชุมชน
งานวิจัยจุฑารัตน์ เอื้ออำนวยและคณะ ได้กล่าวถึง “รัฐ” ควรคืนอำนาจการอำนวยความยุติธรรมบางลักษณะแก่เหยื่ออาชญากรรมและชุมชนไปจัดการดูแลและใช้อำนาจควบคุมสังคมกันเองนั้นเป็นคำถามที่ต้องการคำตอบที่ชัดเจนลงไปว่า ควรเป็นภาคส่วนใดของรัฐที่ควรคืนอำนาจเหล่านี้ให้แก่ประชาชน กล่าวคือ ควรเป็นภาคส่วนที่คุมอำนาจบริหาร หรือภาคส่วนที่คุมอำนาจตุลาการของสังคม เพราะลำพังฝ่ายบริหารจะสามารถจัดการผ่องถ่ายอำนาจได้เฉพาะส่วนที่เป็นอำนาจกึ่งตุลาการ (Quasi judicial Power) เท่าที่อยู่ในความรับผิดชอบของฝ่ายบริหารและเท่าที่กฎหมายกำหนดให้กระทำได้เท่านั้น เช่น อำนาจของหน่วยงานตำรวจ และอัยการ ส่วนฝ่ายตุลาการเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยของประเทศในกิจการงานตุลาการทั้งหลายทั้งปวงเพื่อประสาทความยุติธรรมตามหน้าที่ที่กฎหมายให้อำนาจไว้
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการยินยอมคืนอำนาจให้เหยื่ออาชญากรรมและชุมชนของฝ่ายใดก็ตาม ฝ่ายนิติบัญญัติก็น่าที่จะเข้ามาเกี่ยวข้องในฐานะของภาคส่วนที่กำหนดกฎ กติกาใช้บังคับควบคุมสังคมอย่างเป็นทางการมากที่สุด คือ กำหนดออกมาในรูปของกฎหมายที่ทุกฝ่ายยินยอมและเห็นพ้องต้องกัน ที่สำคัญคือ สังคมควรต้องมีการถกเถียงทางวิชาการอย่างจริงจังและเห็นพ้องต้องกันก่อนว่า การนำกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์มาใช้อย่างมีกฎหมายและกลไกกระบวนการทางสังคมรองรับต่อไปนั้นมิใช่เป็นการลดทอนอำนาจตุลาการและเพิ่มอำนาจให้แก่ฝ่ายบริหารมีอำนาจจัดการด้านงานยุติธรรมในสังคมแต่อย่างใด แต่เป็นการที่ทั้งสองฝ่ายต่างยินยอมลดทอนอำนาจการควบคุมสังคมของฝ่ายตนลงเพื่อให้ประชาชนเจ้าของอำนาจเดิมได้มีโอกาสมีส่วนร่วมใช้อำนาจบางส่วนควบคุมชุมชนสังคมของตนเองต่างหาก ซึ่งประชาชนเจ้าของอำนาจเดิมนั้นในที่นี้ปรากฏในรูปของ “เหยื่ออาชญากรรม” และ “ชุมชน” ที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและแก้ไขเยียวยาเหยื่ออาชญากรรมและผู้กระทำความผิดที่เป็นสมาชิกชุมชนของตนเป็นสำคัญ
มิติด้านสังคมและวัฒนธรรมของการคืนอำนาจการอำนวยความยุติธรรมแก่เหยื่ออาชญากรรม
งานวิจัยจุฑารัตน์ เอื้ออำนวยและคณะ ได้กล่าวถึงผู้มีส่วนได้เสียในอาชญากรรมที่เกิดขึ้นแต่ละครั้ง รวมทั้งวิเคราะห์ถึงผู้ที่ได้รับผลกระทบจากอาชญากรรมแล้ว พบว่า อาชญากรรมก่อให้เกิดผลกระทบแก่ผู้คนกลุ่มต่างๆ ในวงกว้าง คือ มีทั้งผู้ที่ได้รับผลกระทบจากอาชญากรรมโดยตรง ได้แก่ ผู้กระทำความผิด เหยื่ออาชญากรรม ครอบครัวเหยื่ออาชญากรรมครอบครัวผู้กระทำผิด เพื่อนสนิท พยานผู้เห็นเหตุการณ์ เพื่อนบ้านและชุมชนใกล้ชิด รวมทั้งหน่วยปกครองท้องถิ่นและองค์กรภาคเอกชนท้องถิ่น ส่วนผู้ที่ได้รับผลกระทบจากอาชญากรรมโดยอ้อม ได้แก่ สาธารณชน องค์กรภาคเอกชนระดับชาติ สังคมส่วนรวม รัฐบาลและประเทศชาติที่สะท้อนถึงความล่มสลายของระบบการควบคุมสังคมและระบบข่ายใยของวัฒนธรรมที่โยงยึดควบคุมบรรดาสมาชิกให้อยู่ในบรรทัดฐานเดียวกัน เรียกได้ว่าได้รับผลกระทบจากอาชญากรรมมากบ้างน้อยบ้างในทุกภาคส่วนของสังคม
กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์จึงเป็นกลยุทธ์สำคัญที่เปิดมิติด้านสังคมและวัฒนธรรมระหว่างผู้มีส่วนเกี่ยวข้องขึ้นใหม่อีกครั้ง ภายหลังจากที่ต่างก็สูญเสียความรู้สึกไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกันในการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันไปชั่วขณะหนึ่งเมื่อเกิดอาชญากรรมขึ้น มิติใหม่นี้เป็นมิติที่มีความหวังเกิดขึ้นในการฟื้นฟูสัมพันธภาพระหว่างกลุ่มต่างๆ และเป็นการมองปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นโดยกรอบทัศนะที่แตกต่างออกไปโดยมิได้จำกัดอยู่เพียงกรอบทัศนะทางด้านกฎหมายเท่านั้น คือ
1.เหยื่ออาชญากรรมกับอำนาจที่ได้รับคืนมาจากผู้กระทำความผิด เมื่อมีอาชญากรรมเกิดขึ้น เหยื่ออาชญากรรมซึ่งเป็นผู้ถูกกระทำที่อาจได้รับอันตรายทั้งทางร่างกาย ทรัพย์สิน และทางจิตใจ ย่อมรู้สึก “สูญเสียอำนาจ” รวมทั้งสูญเสียความสามารถในการควบคุมชีวิตความเป็นอยู่ของตนไปขณะหนึ่ง ขึ้นอยู่กับการปรับตัวของแต่ละคนว่าจะสามารถปรับจิตใจยอมรับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นได้รวดเร็วมากน้อยเพียงใด กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ช่วยทำให้เกิดเวทีที่ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนข้อมูล อารมณ์ความรู้สึก และแสดงการขออภัย – ให้อภัยซึ่งกันและกัน
2.เหยื่ออาชญากรรมกับอำนาจที่ได้รับคืนมาจากกระบวนการยุติธรรมระบบงานยุติธรรมจัดว่าเป็นบริการพื้นฐานของสังคมที่ผู้รับบริการทุกฝ่ายควรได้รับบริการอย่างทั่วถึงเท่าเทียมกันรวมทั้งเหยื่ออาชญากรรมด้วย แม้ว่า กฎหมายจะเป็นอุปสรรคที่ไม่เปิดช่องให้ระบบยุติธรรมเอื้อต่อการจัดบริการโดยคำนึงถึงความรู้สึกของเหยื่ออาชญากรรมมากนักก็ตาม แต่การจัดบริการโดยหน่วยงานอื่นๆ ของกระทรวงยุติธรรมเพื่อส่งเสริมสนับสนุน ให้การเยียวยาและให้กำลังใจแก่บรรดาเหยื่ออาชญากรรมทั้งหลายในฐานะหน่วยงานที่ให้บริการพื้นฐานด้านงานยุติธรรมของรัฐแก่ประชาชนนั้น ย่อมเป็นสิ่งที่สามารถกระทำได้ รวมทั้งการเสนอเพื่อปรับปรุงแก้ไขกฎหมายบางฉบับให้คุ้มครองเหยื่ออาชญากรรมและกระบวนการเรียกร้องเพื่อให้มีการชดใช้ค่าเสียหายระหว่างผู้กระทำความผิดกับเหยื่ออาชญากรรมให้มากขึ้นอย่างน้อยที่สุดก็ควรจะให้เกิดความสมดุลกับกฎหมายที่คุ้มครองสิทธิของผู้ต้องหาและจำเลยในคดีอาญาที่อยู่มากมายหลายฉบับในปัจจุบัน จึงอาจกล่าวได้ว่า การที่กระบวนการยุติธรรมไม่ละเลยต่อสิทธิพื้นฐานอันพึงมีพึงได้ของเหยื่ออาชญากรรมและการช่วยเป็นแกนนำผลักดันให้มีการประกาศและรับรองสิทธิของเหยื่ออาชญากรรมอย่างแพร่หลายในสังคมนั้น นับได้ว่าเป็น “การคืนอำนาจ” และ “การเสริมพลัง” แก่ประชาชนกลุ่มที่ตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมซึ่งถูกผลักดันให้อยู่ชายขอบของกระบวนการยุติธรรมทางหนึ่งเช่นกัน
3. เหยื่ออาชญากรรมกับการได้รับการเสริมพลังอำนาจจากชุมชนตั้งแต่ปี พ.ศ. 2494 เป็นต้นมา เป็นเวลากว่า 50 ปีที่สังคมไทยได้มีการนำวิธีการคุมประพฤติผู้กระทำความผิดที่เป็นเด็กและเยาวชนมาใช้ และในปี พ.ศ. 2522 ได้นำวิธีการคุมประพฤติผู้กระทำความผิดที่เป็นผู้ใหญ่มาใช้ในระยะต่อมา ซึ่งวิธีการดังกล่าวเป็นวิธีการปฏิบัติต่อผู้กระทำความผิดในชุมชนทางหนึ่งคือเป็นทางเลือกแทนการลงโทษผู้กระทำความผิดคดีที่ไม่ร้ายแรงในเรือนจำ และทำให้สังคมได้มีโอกาสนำ “ทรัพยากรชุมชน” ที่มีคุณค่าทั้งด้านภูมิปัญญาท้องถิ่นและการเป็นเวทีฝึกปฏิบัติจริงมาใช้ “เสริมพลัง” ผู้กระทำความผิดให้แก้ไขปรับปรุงความประพฤติและกลับตนเป็นพลเมืองดีต่อไป
การที่สังคมได้จุดประกายแนวคิดกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ที่มีองค์ประกอบสำคัญคือการให้ความสำคัญกับผู้ที่ถูกกระทำหรือเหยื่ออาชญากรรมไม่น้อยไปกว่าองค์ประกอบอื่นๆ คือผู้กระทำความผิดและชุมชนนั้นจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่สังคมอาจถือโอกาสนี้ในการกำหนดนโยบาย สร้างกิจกรรม และกระตุ้นให้ชุมชนได้มีส่วนสำคัญในการเสริมพลังแก่เหยื่ออาชญากรรมซึ่งก็คือสมาชิกส่วนหนึ่งของชุมชนให้มากยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับที่ชุมชนได้เสริมพลังแก่ผู้กระทำความผิดที่พลาดพลั้งไปและรับกลับคืนสู่ชุมชนด้วยดีตลอดมา รวมทั้งเป็นการตระเตรียมการให้ชุมชนได้เรียนรู้ที่จะป้องกันลูกหลานและเพื่อนบ้านของชุมชน จากกรณีอาชญากรรมที่เกิดขึ้นแล้วให้ปลอดภัยจากอาชญากรรมที่อาจเกิดขึ้นซ้ำรอยเดิมในอนาคตได้อีกทางหนึ่ง ตามแนวทางของยุติธรรมชุมชนที่เน้นการป้องกันอาชญากรรมต่อไป
มิติด้านสังคมและวัฒนธรรมของการคืนอำนาจการอำนวยความยุติธรรมแก่ชุมชน
งานวิจัยจุฑารัตน์ เอื้ออำนวยและคณะได้กล่าวถึงมิติด้านสังคมและวัฒนธรรมของการคืนอำนาจการอำนวยความยุติธรรมแก่ชุมชน ดังนี้
1.ชุมชนกับบทบาทหน้าที่ในการป้องกันอาชญากรรม การรื้อฟื้นแนวคิดยุติธรรมเชิงสมานฉันท์มาใช้อีกครั้งนั้น ทำให้แนวคิดยุติธรรมชุมชน (Community Justice) ซึ่งส่งเสริมสนับสนุนให้ชุมชนทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อนำไปสู่การมีพลวัตเชิงสร้างสรรค์ในการป้องกันชุมชนจากอาชญากรรมได้รับความสนใจตามมาด้วย โดยแนวคิดยุติธรรมชุมชนมุ่งให้ความสนใจป้องกันปัญหาอาชญากรรมที่ชุมชนเป็นสำคัญ ด้วยการจัดให้ประชาชนรู้จักป้องกันตนเองและลูกหลานมิให้ตกเป็นเหยื่ออาชญากรรม รวมทั้งป้องกันตนเองและลูกหลานไม่ให้ประกอบอาชญากรรมเพิ่มมากขึ้นจึงเป็นการเสริมพลังทางบวกและเป็นรากฐานแห่งระบบยุติธรรมในอนาคตที่สำคัญยิ่งทางหนึ่ง
2.ชุมชนกับบทบาทหน้าที่ในการแก้ไขปัญหาอาชญากรรม อาชญากรรมที่เกิดขึ้นทุกครั้งมีลักษณะที่เป็นการลดทอนความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของสังคม เมื่อปัญหาอาชญากรรมเกิดขึ้นที่ชุมชน เกิดจากคนในชุมชนกระทำแก่คนในชุมชนด้วยกันเอง ปัญหาอาชญากรรมเหล่านั้นก็ควรได้รับการควบคุมแก้ไขโดยชุมชนเช่นกัน บทบาทหน้าที่ในการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมนี้จึงไม่อาจพรากไปจากความรับผิดชอบของชุมชนได้ เพราะเป็นบทบาทที่สร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของผู้คนในสังคมให้กลับคืนมาอีกครั้งและเมื่อใดก็ตามที่ระบบกลไกที่สลับซับซ้อนทางสังคมได้ริบเอาหน้าที่ดังกล่าวไปจากชุมชนไปเป็นของรัฐหรือหน่วยงานทางสังคมที่มีอำนาจมากกว่าแล้ว ย่อมส่งผลให้การควบคุมปัญหาอาชญากรรมในชุมชนไม่ได้ผลเท่าที่ควร ดังเช่นที่หลายประเทศต้องประสบกับปัญหาการควบคุมอาชญากรรมทั้งหลายในสังคมในปัจจุบัน รวมทั้งสังคมไทยด้วย
การคืนอำนาจการอำนวยความยุติธรรมแก่ชุมชนจึงเป็นการเสริมพลังชุมชนให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนปฏิกิริยาของชุมชนและวิธีการปฏิบัติงานของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมทั้งองคาพยพเมื่อมีการกระทำความผิดเกิดขึ้นจากปฏิกิริยาแบบธรรมเนียมนิยมไปสู่ปฏิกิริยาแบบกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ที่เชื่อมโยงเสริมพลังกันเป็นเครือข่าย
ในงานวิจัยของจุฑารัตน์ เอื้ออำนวยและคณะได้กล่าวสรุป “การคืน “อำนาจ” แก่เหยื่ออาชญากรรมและชุมชน” ว่าเป็นกระบวนวิธีการและกลไกของกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์เป็นกิจกรรมที่มีความสัมพันธ์โยงใยกันระหว่าง “เหยื่ออาชญากรรม – ผู้กระทำความผิด – ชุมชน” เมื่อมีการคืนอำนาจและเสริมพลังแก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายในปัญหาอาชญากรรม คือ เหยื่อ – ผู้กระทำผิด –ชุมชนอย่างครบถ้วนเสมอภาคกันแล้ว ย่อมนำมาซึ่งความสมานฉันท์สันติสุขของสังคมส่วนรวม (social harmony) ดังที่แนวคิดกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ได้กำหนดไว้เป็นเป้าหมายสุดท้ายที่ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมบรรลุถึงได้ทั่วหน้ากันในระยะเวลาอันสมควร